ไต ถือเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญมากพอ ๆ กับตับ เพราะไตเป็นที่ที่มีการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย นอกจากนั้น ยัง ทำหน้าเก็บและดูดซึมสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และรักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ส่วนหน้าที่ ที่อีกหลายคนไม่ทราบ หรืออาจทราบแต่ไม่ชัดเจนนัก ก็คือ ไต มีหน้าที่สร้างฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง ที่ชื่อว่า อิริโธพอยติน (Erythropoietin) ฮอร์โมนเรนนิน (Renin) ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมความดันโลหิต รวมถึงฮอร์โมนอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของไต ตลอดจนควบคุมระบบการทำงานของอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย คงเห็นแล้วว่า อวัยวะชิ้นนี้มีความสำคัญเพียงใด ปัจจุบันในวงการวิทยาศาสตร์พยายามหาสมุนไพรหรือสารจากธรรมชาติที่ช่วยปกป้องไตจากการทำลายของสารพิษ สมุนไพรที่เรารู้จักกันดี ก็คือ หญ้าหนวดแมว
ในใบอ่อนของหญ้าหนวดแมว มีเกลือโปแตสเซียมมาก จึงใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ที่มีประสิทธิภาพสูง และใช้รักษานิ่ว ทั้งนิ่วด่าง ซึ่งเกิดจากแคลเซียม หรือ หินปูนและนิ่วกรดที่เกิดจากกรดยูริค ซึ่งมักจะเกิดจากการรับประทานเนื้อสัตว์ สัตว์ปีกและเครื่องในสัตว์มากเกินไป โดยผลการศึกษา พบว่า ได้ผลในการรักษานิ่วกรดมากกว่านิ่วด่าง โดยเมื่อรับประทานหญ้าหนวดแมวซึ่งมีโปรแตสเซียมสูง จะทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นด่าง ทำให้กรดยูริคและเกลือยูเรต ไม่จับตัวเป็นก้อน และช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมตกค้างในไต ช่วยขยายท่อไตให้กว้างขึ้น จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้
วิธีการใช้หญ้าหนวดแมวโดยใช้ยอดอ่อน (ที่มีใบอ่อน 2-4 ใบ) ควรเก็บช่วงทีกำลังออกดอก เพราะจะมีสารสำคัญอยู่มาก (แต่ไม่ใช้ดอก) นำมาหั่นเป็นท่อนสั้น ๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วใช้ 1 หยิบมือ (2 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 แก้ว ปิดฝาไว้ 5-10 นาที ดื่มขณะร้อน ๆ ครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร และดื่มน้ำตามมาก ๆ รับประทานนาน 1-6 เดิอน ว่ากันว่า จะช่วยขับนิ่วขนาดเล็ก ๆ ได้
ถึงแม้หญ้าหนวดแมว จะมีฤทธิ์ในการบำรุงไต แต่ก็มีข้อห้ามหลายประการที่ควรระมัดระวัง เช่น คนที่เป็นโรคหัวใจและโรคไต ซึ่งโรคไตในที่นี้ หมายถึงโรคไตที่มีการทำงานของไตบกพร่อง หรือไตทำงานในการกรองของเสียได้น้อยลง เนื่องจากในหญ้าหนวดแมวมีโปรแตสเซียมสูง อาจะมีผลให้หัวใจเต้นผิดปกติ ส่วนคนที่เป็นโรคไตจะไม่สามารถขับถ่ายโปรแตสเซียมที่มีปริมาณสูงได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย
นอกจากนั้นไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวโดยวิธีการต้มดื่มและควรใช้ใบอ่อน (ไม่ใช้ใบแก่) เนื่องจากการต้มดื่มและการรับประทานใบแก่อาจทำให้ได้รับยาในปริมาณเกินไป ซึ่งทำให้ฤทธิ์กดหัวใจ หายใจผิดปกติ ชีพจรเต้นผิดปกติ มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ในขณะเดียวกันการใช้ใบสด ก็อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้น จึงควรใช้ใบตากแห้ง ซึ่งจะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว และรสขมน้อยกว่า นอกจากนั้น การใช้หญ้าหนวดแมวควบคู่กับยาจำพวกแอสไพริน ก็ต้องใช้ ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะมีการวิจัยที่พบว่า ผู้ป่วยที่รับประทานยาแอสไพรินและหญ้าหนวดแมวควบคู่กัน จะมีผลทำให้ยาแอสไพรินไปจับกับหัวใจมากขึ้น
ส่วนสมุนไพรที่หาได้ง่ายในชนบทอย่าง หญ้าคา ก็สามารถใช้ได้ โดยใช้รากและเหง้าสดหรือแห้งวันละ 1 กำมือ (น้ำหนักสด 40-50 กรัม หรือ น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา มีการศึกษาในผู้ป่วยโรคไตอักเสบเฉียบพลัน พบว่า เมื่อคนไข้ดื่มน้ำต้มรากหญ้าคาในขนาด 250 กรัมต่อวัน หลังจากได้รับยา 1-5 วัน จะมีปัสสาวะเพิ่มขึ้น อาการบวมน้ำและไตอักเสบลดลง
สมุนไพรดูแลไตยังมีอีกหลายชนิด จะนำเสนอในบทความชิ้นต่อไปค่ะ
ข้อมูลจากหนังสือ สมุนไพร เพื่อชีวิต พิชิตโรคภัย "สุขภาพวิถีไทย อภัยภูเบศร"....เพื่อการพึ่งตนเอง